ศิลป์ญี่ปุ่น
โอฮาโยโกไซมาส... สวัสดีค่ะ วันนี้พี่จะมาเล่าประสบการณ์และให้คำแนะนำน้องๆ เกี่ยวกับศิลป์ญี่ปุ่น และคนทั่วไปที่สนใจนะคะ โดยจะยกตัวอย่างจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของพี่เอง หวังว่าจะทำให้น้องๆ ตัดสินใจกันได้นะคะ ว่าจะเลือกเรียนศิลป์ญี่ปุ่นรึเปล่า? มาเริ่มกันเลยค่ะ!!
ชีวิตตอน ม.3
ช่วง ม.3 เป็นช่วงที่ใครหลายๆ คนเริ่มถามกับตัวเองแล้ว ว่าจะเลือกทางไหนดี สำหรับโรงเรียนของเรานั้นมีอยู่ 7ทางเลือกด้วยกัน นั่นคือ EP, GEP, วิทย์-คณิต, ศิลป์-คำนวณ, ศิลป์-ญี่ปุ่น, ศิลป์-จีน, ศิลป์-ทั่วไป (แต่สำหรับนักเรียนโครงการธรรมดาจะเลือก EP กับ GEP ไม่ได้นะ ยกเว้นเด็กใหม่) และหลายๆ คนก็จะเริ่มรู้สึกตัวกันแล้ว ว่าจะเลือกสายอะไรกัน แต่หลายๆ คนก็รู้สึกตัวช้า ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเข้าอะไร อย่างสมมติว่าอยากเข้าวิทย์-คณิตอ่ะ แต่ตอน ม.1 กับ ม.2 ไม่ตั้งใจเรียน เกรดไม่ดี จะมาปั่นตอนม.3 ก็อาจจะสายไปซะแล้ว ฉะนั้น ต้องถามตัวเองให้แน่ใจว่าชอบอะไรก่อน ย้ำ!! ว่าชอบอะไร เพราะถ้าเราไม่ชอบอะไรจริงๆ เนี่ย เรียนไปก็ไม่มีความสุข
แถมเกรดออกมาก็ไม่ดีด้วย ขอบอกว่าเรื่องจริงเลย...
สมัยพี่อยู่ ม.3 พี่เรียนอยู่โครงการพิเศษ(เน้นวิทย์-คณิต) แต่หัวของพี่อยู่ในระดับปานกลาง คือไม่ฉลาด และก็ไม่โง่ (ฮ่าๆ) ตอนแรกพี่อยากเป็นสถาปนิก คือเป็นคนที่ชอบบ้านมาก ชอบวาดรูปบ้าน ตกแต่งบ้าน แต่พี่ก็ค้นพบสัจธรรมว่า ใครจะอยากได้แบบบ้านเราไปสร้างวะ? - -“ ฮ่าๆๆ แล้วตอน ม.3 ไม่ค่อยตั้งใจเรียนพวกวิชาวิทย์กับคณิตเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนกำลังหลอกตัวเองอยู่..? แต่พี่ชอบภาษาอังกฤษมาก พี่จะมีความสุขเวลาแปลภาษาอังกฤษมาก (แต่ไม่ชอบแกรมม่าเล้ย) แล้วพี่ก็ค้นพบสัจธรรมว่า พี่อยากพูดภาษาต่างประเทศได้ (อย่างรุนแรง) พี่อยากพูดได้ดีกว่านี้ (ปัจจุบันมันก็ไม่ได้ดีกว่าเดิมสักเท่าไหร่ - -“) แล้วพี่ก็ชอบภาษาญี่ปุ่นอยู่ด้วย คือในความคิดพี่ก็คือ มีภาษาที่ 3 ไม่มีวันตกงาน!! (แถมเท่ด้วย ไม่ใช่ทุกคนจะพูด เขียนญี่ปุ่นกันได้นี่จ้ะ) โฮะๆๆๆ แล้วพ่อก็สนับสนุน บวกกับพี่คิดว่าขอเรียนไม่เครียด ได้เกรดดีๆ ดีกว่าฝืนไปนั่งเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ แล้วก็ได้เกรดไม่ดี สุขภาพจิตจะแย่เอาเปล่าๆ นะ ถ้าน้องไม่อยากเป็น หมอ วิศวะ นักวิจัย เภสัช สถาปัตย์ ไอน์สไต ก็ลองดูสายอื่นดีกว่านะ ^^
อีกเหตุผลคือพี่น่ะมีโปรเจ็คอยากจะทำหนังสือการ์ตูน ตอนนั้นชอบวาดการ์ตูนมากๆ อยากเป็นนักวาดการ์ตูน แต่เป็นงานอดิเรกนะ เพราะพี่เห็นพี่สาวพี่มันดูมีเวลาล้นเหลือเสียเหลือเกิน คิดว่าคงสบายไม่มีอะไรมาก คือ คนมันเคยเรียนแบบเครียดน่ะนะ (แต่พอเข้ามาแล้วไม่เห็นเป็นอย่างที่คิดเลยวะ?) พี่จึงเลือกภาษาญี่ปุ่นอย่างไม่ลังเล ไม่เหลียวมองสายอื่นเลย เหอๆๆๆ
พี่จบ ม.3 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.34 และติดศิลป์ญี่ปุ่นแบบสบายๆ
ต่ำสุดสายวิทย์ปีนั้น 3.33 นะ โฮ่ะๆ (มันน่าภูมิใจมาก.. 0.01)
คุณสมบัติของเด็กศิลป์ญี่ปุ่น
1. ชอบเรียนภาษา – ก็ถ้าไม่ชอบเรียนภาษา แล้วเรียนไปมันจะรุ่งมั้ยอ่าคะน้องเอ้ย..!
2. ชอบนักร้อง-ดารา-การ์ตูน-หนังญี่ปุ่น – การที่เราชอบพวกนี้จะทำให้เรามีแรงบันดาลใจนะ มีแรงบัลดานใจที่อยากจะฟังเพลงของนักร้องที่เราชอบให้รู้เรื่อง หรือถ้าเกิดเป็นพวกเจแปนนิสริซึมก็เหมาะมากเลย พวกผู้ชายส่วนใหญ่จะบอกว่าอยากฟังหนังญี่ปุ่นรู้เรื่อง.. พวกนี้นี่ไม่ได้เลย!!
3. อึดกันสักนิด – ลองคิดดูนะ ขนาดภาษาอังกฤษเรียนมาตั้งกะอนุบาล ยังพูดได้แค่งูๆ ปลาๆ เลย แล้วเรามาเริ่มภาษาใหม่ ดังนั้น เราจึงต้องอดทน เพราะมันคือการเริ่มต้นใหม่ จะมาเดือนหนึ่งแล้วพูดได้มันอิมพอร์ตสิเบิ้ล!!
4. มีความพยายามกันสักหน่อย – ต้องตั้งใจที่จะฟัง อ่าน เขียน และมองหาแหล่งความรู้ใหม่ๆ ฝึกบ่อยๆ คนเก่งแพ้คนขยันนะเออ!
5. ทุกอย่างต้องตั้งใจ – เมื่อเข้ามาเรียนศิลป์ภาษาแล้ว ก็อย่าทิ้งวิชาอื่น เพราะเมื่อน้องต้องเอนท์ ทุกวิชามีผลต่อคะแนนหมด ไม่ใช่เรียนภาษาก็เอาแต่ภาษา วิชาอื่นเราไม่สน ทำแบบนั้นไม่ได้นะเออ..
อาจารย์ผู้ทำการสอน
คนที่เรียนสายศิลป์-ญี่ปุ่นจะไม่ค่อยเรียกอาจารย์ว่าอาจารย์หรอกค่ะ แต่จะเรียกท่านว่า เซนเซ ซึ่งมีความหมายในภาษาญี่ปุ่นก็คืออาจารย์นั่นแหละค่ะ อาจารย์ที่สอนภาษาญี่ปุ่น มีดังนี้
ท่านแรกคือ อาจารย์ สุพรพันธ์ จิตรบรรเทา
อาจารย์สุพรพันธ์สอนเก่งมากๆ เลยนะคะ และอาจารย์ยังเป็นคนที่เขียนหนังสือเรียนของศิลป์-ญี่ปุ่นด้วย แต่ ม.4 จะได้เรียนกับอาจารย์คาโอริก่อนนะ ตอนนี้อาจารย์สุพรพันธ์กำลังจะเรียนต่อโท จุฬาฯ อาจารย์เรานี่เก่งมากๆ เลยนะคะ
ท่านที่สองคือ อาจารย์ คาโอริ
อาจารย์คาโอริ มาสอนภาษาญี่ปุ่นให้กับเราในโครงการอะไรก็ไม่ทราบค่ะ แต่ดูเหมือนอาจารย์จะสงสารเรา จึงอยู่สอนต่อมา 2 ปีแล้วค่ะ อาจารย์ใจดีแถมน่ารักด้วย แต่คนที่ไม่ตั้งใจเรียน ระวังนะ หึหึหึ แล้วก็พวกที่คุย ไม่ฟัง หรือโดดเรียนอ่ะ อาจารย์เค้าจำได้นะขอบอก คนญี่ปุ่นเค้าละเอียดนะจะบอกให้ (คนลอกกันอาจารย์เค้ารู้นะ แต่ไม่พูด)
แล้วในปีนี้จะมีอาจารย์ใหม่เพิ่มมา 2 คนนะ เพราะอาจารย์สุพรพันธ์ต้องไปเรียนโท จุฬาฯ น่ะ รอลุ้นอยู่ว่าเป็นใคร
หนังสือที่ใช้เรียน
หนังสือสอนภาษาญี่ปุ่นที่ใช่เรียนคือ นิฮอนโกะ อะกิโกะโตะโทะโมะดะจิ แปลเป็นไทยก็ ภาษาญี่ปุ่น อะกิโกะและผองเพื่อน
ห้องเรียน+เพื่อน
ห้องเรียนศิลป์ญี่ปุ่นตั้งอยู่ที่ชั้น 4 ห้อง 1410 ประตูห้องสีขาวสวยงาม ติดป้ายหน้าห้องว่า “ศิลป์ญี่ปุ่น” ภายในห้องจะไม่เหมือนห้องเรียนไหนเลยในโรงเรียนนี้ โต๊ะจะใช้โต๊ะแล็คเชอร์ เหมือนที่เรียนพิเศษ(โต๊ะสั่งทำนะเออ) มีตั้งหมด 48 ที่นั่ง ถ้าน้องเป็นคนที่ 49 ต้องซื้อโต๊ะมานั่งเองนะจ้ะ เห็นอาจารย์บอกว่าห้องนี้หมดไปหลายอยู่ ดังนั้น ช่วยกันดูแลหน่อยนะ ที่สำคัญติดแอร์..
เมื่อเข้ามาในห้องเรียนวันแรก ก็จองโต๊ะกันไปก่อน พี่นัดกับเพื่อนไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องหน้าสุด คือพี่มีเพื่อนจากห้องเก่ามา 2 คน ก็จะไม่ค่อยว้าเหว่ แต่อย่าหวังว่าจะได้นั่งตรงที่เราจองน่ะ เพราะอาจารย์เขาจะจับฉลากที่นั่ง เหมือนกับว่าให้ทำความรู้จักกัน โดยเปลี่ยนทุกเดือน.. แต่สุดท้ายมันก็ย้ายที่กันจนได้ มันเคยใช้ความอดทนกันบ้างมั้ย? (ฮ่าๆๆๆ) วันแรกอาจารย์ก็จะให้แต่ละคนแนะนำตัว ว่าชื่ออะไร มาจากห้องไหน ไล่กันไปเรื่อยๆ แล้วเราก็ควรจะจำชื่อเพื่อนให้ได้ด้วยนะ สัก 3-4 คนก็ยังดี วิธีที่จะทำให้เราจำเพื่อนและรู้จักกับเพื่อนใหม่ที่ดีก็คือ แจกสมุด หนังสือ เพราะเราจะได้รู้จักกับเพื่อน แล้วก็จะจำหน้าเพื่อนได้
เพื่อนแต่ละคนนั้นเราไม่รู้จักกันมาก่อน เรียนคนละห้องกันมา แล้วก็มาอยู่ด้วยกัน บางคนก็มาด้วยใจรักอยากเรียน บางคนก็เกรดพามา บางคนก็ตามเพื่อนมา บางคนก็ชอบทางศิลป์เลยมา บางคนไม่รู้จะไปไหน บางคนอยู่เพื่อเรียนสบาย หรือบางคนก็ไม่มีที่ไป เลยย้ายมาอยู่ สำหรับคนที่คิดว่าพวกเรียนสายศิลป์มีแต่พวกเรียนไม่เก่ง ไม่ติดสายวิทย์ ถ้าคิดอย่างนั้นคุณก็เป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายแล้วล่ะ การเรียงสายไม่ได้เรียงลำดับความเก่งสักหน่อย คนที่เขาตั้งใจเรียนก็มีตั้งเยอะ ไม่รู้อย่าเหมารวมดีกว่า อย่าดูถูกกัน บางคนเรียนสายวิทย์-คณิต แต่ภาษาอังกฤษนี่ดักดานมากก็มี คือมันเรียนคนละแบบ กรุณามองที่จุดมุ่งหมายของเรา ไม่ใช่คำพูดของใครก็ไม่รู้ที่เป่าหูเรานะ ก่อนที่จะมีคนเก่ง ก็ต้องมีคนไม่เก่งก่อนอยู่แล้ว..
ส่วนพี่อย่างเงี้ย คือก็เตรียมใจมาเจอเพื่อนเต็มที่แล้วล่ะ รู้ว่าเราจะต้องเจอแบบไหนบ้าง แต่เราก็เป็นเพื่อนกันได้ ถ้าคนอื่นเขาไม่เรียน ก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องไม่เรียนตามเขาหนิ? มันขึ้นอยู่กับตัวเราทั้งนั้นแหละ เนอะ แต่ก็ต้องช่วยเหลือเพื่อนด้วยนะ อย่าเอาตัวรอดคนเดียวเน่อ
รับน้อง 0.0
เอ่อ.. เรื่องนี้พี่ก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกน่ะ คือรับน่ะมีแน่อ่ะ แต่ไม่บอกหรอก เดี๋ยวไม่ตื่นเต้น แล้วก็จะมีการจับพี่รหัสน้องรหัสด้วย แล้วก็ทุกครั้งที่รับน้อง เราก็จะมีตำแหน่ง Mr. Japan กับ Miss. Japan ด้วย ฮ่าๆๆๆ คือ คนหล่อ และคนสวยประจำห้องนั่นเอง แต่ไม่ใช่แค่หน้าตานะน้องนะ เขาดูนิสัยด้วย เอิ๊กส์ๆ
Mr. Japan ประจำปีพี่คือ พี่นัท และ Miss. Japan คือ พี่เน็ท
พี่นี่เกือบจะได้อยู่แล้วเชียว น่าเจ็บใจชะมัด ฟิ้ววว.... (โดนถีบไปดาวอังคาร)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น